วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

"ช่วงเวลาปิดเทอม"ช่วงเวลาทุกข์หรือสุข

โดยเฉพาะบรรดาพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยของการแข่งขันการเรียนทุกระดับ ที่ปรารถนาจะส่งลูกเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และต้องวัดกันที่สนามสอบ
วิธีสังเกตที่ชัดที่สุด จะเห็นได้ว่า บรรดาศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า ที่มีพื้นที่ให้เช่าสำหรับสถานสอนพิเศษ ก็จะคลาคล่ำไปด้วยพ่อแม่จูงลูกหลานกันแน่นขนัด เรียกว่า เป็นช่วงรับทรัพย์มากที่สุดของสถานศึกษากวดวิชาสารพัดนั่นแหละ
นอกจากกิจกรรมตะบี้ตะบันส่งลูกกวดวิชาการในช่วงปิดเทอม ฉบับนี้ก็เลยอยากจะแนะนำเพื่อนพ่อแม่ให้ลองเหลียวมาดูกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย รอเด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์นอกห้องเรียน และโลกกว้างได้อีกตั้งเยอะ ก็แหม..โลกใบนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกตั้งเยอะแยะ
องมาดูกิจกรรมคร่าวๆ สำหรับเด็กกันค่ะ
หนึ่ง – สำหรับพ่อแม่ทำงาน ก็เข้าใจได้ว่าช่วงปิดเทอมอาจไม่มีใครช่วยดูแลลูก จะปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียวก็กระไรอยู่ ลองพูดคุยกับหัวหน้างานดูสิคะ ว่า ขอให้ลูกไปที่ทำงานของพ่อบ้าง สลับกับที่ทำงานของแม่ อย่าคิดว่าลูกเกะกะเวลาทำงานเลย เป็นการสอนให้ลูกได้รู้ด้วยว่าพ่อแม่ต้องทำงาน ทุกคนต้องมีหน้าที่ ลูกเองตอนนี้มีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ วันหนึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาก็ต้องมีหน้าที่การงาน ก็ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน จะทำให้ลูกเข้าใจเราด้วยว่า พ่อแม่ต้องเหนื่อยในการทำงานหาเงิน เพื่อดูแลเขาและครอบครัว แต่อย่าลืมคิดและเตรียมกิจกรรมให้ลูกทำในช่วงที่อยู่ในที่ทำงานของคุณด้วย เช่น พกหนังสือเล่มโปรด หรืออุปกรณ์วาดรูปติดตัวไปด้วย หากสถานที่ทำงานไม่เอื้ออำนวยจริงๆ จึงค่อยค้นหาวิธีอื่นๆ เช่น ฝากให้ญาติพี่น้องดูบ้าง หรือมองหากิจกรรมสั้นๆ ที่เหมาะกับเขาหรือเธอตัวน้อยในข้อถัดไป
สอง – กรณีที่ต้องให้ลูกเรียนกวดวิชา เพราะมีปัญหาเรื่องไม่มีใครช่วยดูแล ก็น่าจะเริ่มจากความต้องการของลูกก่อน หรือเริ่มจากสิ่งที่ลูกชอบ เช่น ลูกอยากเรียนว่ายน้ำ อยากเล่นดนตรี ฯลฯ ก็เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับลูก เพื่อให้เป็นช่วงปิดเทอมที่ลูกได้ทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจอย่างแท้จริง และเป็นการผ่อนคลายด้วย หลังจากที่ต้องเคร่งเครียดกับการเรียนมาตลอดทั้งปี เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกสถานที่ที่ดี ปลอดภัย และเหมาะสมด้วย ใครจะไปรู้ คุณอาจจะได้เห็นความสามารถพิเศษในตัวลูกจากกิจกรรมเสริมในช่วงปิดเทอมที่ลูกชอบก็ได้
สาม – ต้องเข้าใจว่า นอกจากสถานกวดวิชาแล้ว ยังมีกิจกรรมค่าย หรือแคมป์อีกมากมายที่เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ยุคปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการก็จะตั้งชื่อเป็นค่ายหรือแคมป์ประมาณ อัจฉริยะ หรือค่ายเด็กเก่งสารพัด เพื่อดึงดูดใจพ่อแม่ ฉะนั้น เราต้องไม่ตัดสินใจเลือกค่าย หรือแคมป์ใดเพราะชื่อเท่านั้น แต่ควรจะดูรายละเอียดด้วยว่าแต่ละแห่งเขามีกิจกรรมอะไรบ้าง เหมาะกับลูกของเราหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าการจะส่งลูกไปทำกิจกรรมในช่วงปิดเทอมควรจะให้ลูกได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเพราะไม่มีใครดูลูกเท่านั้น
สี่ - มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็ก เช่น พิพิธภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับเด็กเกิดขึ้นมากมาย การปลูกฝังให้ลูกได้ไปเยี่ยมชม และเรียนรู้จากสถานที่เหล่านั้น จะช่วยสร้างฐานการคิดและเรียนรู้โลกกว้างได้ดียิ่ง ยิ่งในยุคข้อมูลไร้พรมแดนเยี่ยงนี้ พ่อแม่สามารถทำการบ้านผ่านทางอินเตอร์เน็ตไปก่อนก็ได้ และเตรียมสมุดโน็ตเล็กๆ พร้อมดินสอ หรือปากกา เพื่อสอนให้ลูกฝึกการบันทึกถึงสิ่งที่พบเห็นในสถานที่สำคัญ หรือแหล่งเรียนรู้ โดยมีพ่อแม่คอยกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยการซักถามลูกไปด้วย ที่ผ่านมา พอเอ่ยถึงเรื่องพิพิธภัณฑ์ เรามักจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนพาไปทัศนศึกษา ซึ่งในความเป็นจริงการไปทัศนศึกษาในโรงเรียน เป็นการทำกิจกรรมหมู่ของเด็กจำนวนมาก การดูแลหรือกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กๆ ทุกคนอาจจะไม่ทั่วถึง การพาลูกไปกันเอง จะช่วยทำให้ลูกได้เรียนรู้ถึงความแตกต่าง และพ่อแม่ยังได้เรียนรู้ไปด้วยว่าลูกของเราสนใจการเรียนรู้เรื่องใด สิ่งสำคัญที่หาซื้อไม่ได้ คือ ความรักความผูกพันที่ได้ทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกันค่ะ ไม่เชื่อลองถามลูกดูสิคะ ว่าลูกชอบไปกับใคร ระหว่างพ่อแม่กับโรงเรียน ...เว้นแต่คุณเป็นพ่อแม่ขี้บ่น... (ฮา)
ห้า – ช่วงปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงที่มีเทศกาลวันหยุดค่อนข้างเยอะ และมีเทศกาลสงกรานต์ด้วย ถ้าคุณใส่ใจรายละเอียดหน่อย อาจจะวางแผนล่วงหน้าลาพักร้อนให้ตรงกับช่วงปิดเทอมของลูกเพื่อจะไปเที่ยวพักผ่อนร่วมกันก็เป็นเรื่องที่ดี ลองวาดภาพความสนุกสนานร่วมกันในช่วงพักร้อนสิคะ เป็นการชาร์ตแบตชีวิตของคุณเองด้วย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงานมาตลอดปี แล้วเราก็จะเข้าใจด้วยว่า ลูกเรียนมาตลอดปีเช่นกัน ช่วงปิดเทอมน่าจะเป็นช่วงผ่อนคลายร่วมกันพร้อมครอบครัว ทั้งห้าข้อ ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่ค่านิยม หรือการเรียนกวดวิชาการมาแรงเหลือเกิน บอกตามตรงว่าเห็นใจเด็กยุคนี้จริงๆ เพราะทิศทางสูตรการศึกษาในบ้านเรา มุ่งให้เด็กๆ เป็นตำราเดินได้ แต่นับวันจะขาดทักษะชีวิตด้านอื่นๆ กิจกรรมในช่วงปิดเทอมมีอีกมากมายที่นอกจากการกวดวิชาเพียงอย่างเดียว ทุกวันนี้ค่านิยมที่ต้องเรียนล่วงหน้ากำลังระบาดไปทั่วประเทศ เราอยากให้ลูกของเราเรียนๆ ๆๆ และก็เรียนไปตลอดปีแล้วปีเล่า อาจจะมีเกรดเฉลี่ยดี สามารถสอบได้ทุกสนามการแข่งขัน แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าชีวิตเขาไม่มีความสุข บางท่านอาจเห็นแย้งแล้วบอกว่าการเรียนกวดวิชานี่แหละคือความสุขของลูก ทั้งที่เด็กเหล่านั้นอาจแทบจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตด้านอื่นๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นมากับกองตำรา เรียนๆ ๆ ๆ แล้วก็เรียนมาตลอด เวลาสอบได้ดี พ่อแม่ก็ชื่นชม ได้รับของรางวัลที่อยากจะได้แทบทุกครั้ง ก็ย่อมพอใจ เด็กบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบอะไร หรือเรียนไปมากมายก่ายกอง แล้วจะเอาไปทำอะไร เพราะโหมดการรับรู้ คือ เรียนเข้าไว้ พ่อแม่ให้เรียนอะไรก็เรียน ขอให้เรียนได้คะแนนดีๆ เข้าไว้ละกัน ไม่แปลกใจที่ทำไมถึงมีเด็กจำนวนมากที่เมื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี และเมื่อเรียนเสร็จแล้วจะทำอะไรก็ไม่รู้ สิ่งที่เด็กไทยในระบบการศึกษาแบบปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่ คือ เรื่องการขาดทักษะการคิด ทักษะการใช้ชีวิต เพราะชีวิตที่เดินในทุกวันนี้ มีพ่อแม่คอยขีดเส้นให้ลูก โดยบอกว่า “ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูก” แต่เอาเข้าจริงแล้ว อาจต้องสะกิดคิดว่า แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งอย่างที่ทำนั้น เพื่อตัวเองหรือเพื่อลูก กิจกรรมช่วงปิดเทอมดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ในความเป็นจริง กิจกรรมช่วงปิดเทอม เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข และเวลาแห่งการเรียนรู้โลกใบนี้ของลูกได้เป็นอย่างดี เราคงไม่อยากให้ลูกของเราเข้าข่าย “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” หรอกนะคะ
โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
ที่มา
http://www.manager.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น