วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เจาะลึกพิทบูลสไตล์



พิทบูลในสไตล์ Bully ในอเมริกามีหลายสายที่โด่งดัง Razorsedge, TrueTank, Noble, Gotti, GreyLine, BUTTHEAD และ Watchdog อีกกลุ่มเป็นพิทบูลที่ทำมาเพื่อประกวดใน UKC โดยเฉพาะ มีความ Correct ในตัวสูง และมีความ Bully ในตัวบ้างเช่นกัน เช่นสาย Gaff, Knowlwood และ GreyFox นอกจากสายที่กล่าวมาแล้วยังมีอีกหลายสายที่ทำกันอยู่ แต่ยังไม่เป็นที่นิยม หรือเข้าตาในกลุ่ม Breeder ที่เล่นสไตล์ Bully นัก พิทบูลในสไตล์ Bully ส่วนใหญ่จะเป็นพิทบูลที่ขึ้นกับสมาคม UKC แต่ก็มีบ้างบางตัวที่เป็นทั้ง UKC และ AKC หรือที่เรียกกันว่า Dual Register จุดเด่นที่ทำให้สไตล์นี้น่าสนใจ ก็คงเพราะความดูดุดัน และสะใจดี แต่จุดด้อยของมันก็มีเช่นกัน ตัวที่Bully มากๆจะขาดความทะมัดทะแมง และความเป็นสุนัข athletic หรือสุนัขนักกีฬา เหมือนที่พิทบูลควรจะเป็น มีน้อยลง หลายตัวที่ผมเคยสัมผัส มักเหนื่อยง่ายกว่าสายใช้งาน หรือสายที่มาจากการกัดและลากน้ำหนักมากพอควร ซึ่งก็เป็นจุดแตกต่างที่ควรมองให้ดีด้วยว่า เราชอบสุนัขพิทบูลในแบบใด ซึ่งมองๆก็คล้ายๆนักมวยระหว่าง นักมวยไทยกับนักมวยปล้ำยังไงยังงั้น แตกต่างทั้งทางสลีลักษณ์ ความสามารถในจุดที่แตกต่าง

สำหรับพิทบูลในสไตล์ Bully นั้น Razorsedge หรือ R.E. ดูจะเป็นสายที่โดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มพิทบูล Bully ทั้งหมด ทำไมผมจึงกล่าวว่า R.E. คือ สายที่จัดว่าเป็นพิทบูลสไตล์ Bully ที่ดีที่สุด เพราะนอกจากผลรางวัล Bully Breeder และ Bully Producer ที่เป็นตัวการันตีแล้ว หากมองที่ตัวสุนัข ผมว่า R.E. ยังมีจุดเด่นอื่นอีกที่ยกระดับตัวเองสูงกว่าสายอื่นๆ นั่นคือ ความ Balance ของตัวสุนัขเอง ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินพอดี เรียกว่า Compact ดูสวยพองาม หัวกระโหลกออกไปทางเหลี่ยมและใหญ่ เรียกว่า Brick Shap ซึ่งทรงนี้จะสังเกตุเห็นแก้มนูนชัดเจน หน้าอกกว้าง นูน หัวไหล่หนา สำหรับความสูงเท่าที่เคยศึกษามา สาย R.E. มีส่วนสูงตั้งแต่ 16" ไปถึง 21" ทำให้มองจากด้านหน้าแล้วเป็นพิทบูลที่ดุดันมาก เรื่องของหัว บางคนอาจจะมอง R.E. ว่าเป็นสายที่มีหัวใหญ่ แต่หากศึกษาเจาะลึกลงไป จะเห็นว่าจริงๆ แล้ว โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ใหญ่โตจนโอเวอร์มากนัก มักจะมีขนาดหัวอยู่ที่ 22-25" ในตัวผู้ และ 20-22" ในตัวเมีย แต่ที่ดูใหญ่โต คงเป็นเพราะความที่เป็นสุนัข Compact หรือดูกระทัดรัดสมส่วน ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่คิดว่าหลายคนรู้จักแน่นอนคือ LowJack's Remy เจ้าตัวนี้ ถือว่าตอนนี้กำลัง hot สุดๆ ในหมู่คนที่ชอบอะไรที่ดูใหญ่ๆโตๆ ในความเป็นจริงแล้ว Remy มีหัวเพียง 22-23" เท่านั้นเอง แต่ด้วยความกระทัดรัด จึงทำให้ดูใหญ่และสวยงาม อันนี้คงทำให้เห็นถึงความสำคัญของความ Compact หรือ Balance ได้ดี เราไม่จำเป็นต้องเน้นหัวที่โตมาก แต่ให้เน้นความสมส่วนความพอเหมาะ อะไรที่มันลงตัว จะทำให้มันสวยกว่าอะไรที่มันดูเกินตัว ผมเห็นมีอยู่คอกนึง ออกมาโฆษาณากันค่อนข้างเกินความจริง ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อแล้วกัน คอกนี้เคยเป็นคอกที่เคยดังมากๆ คอกนึงในอเมริกา เขามักกล่าวอ้างว่าหมาเขาหัวใหญ่มาก มีตั้งแต่ 25-28" สูง 17-19" น้ำหนักกว่า 110 lb ขึ้นไป อันนี้พอเห็นหมาแล้วบอกได้เลยว่าค่อนข้างโม้เกินจริง ให้เราลองจินตนาการง่ายๆแล้วกัน ตัวค่อนข้างเตี้ยมาก หัวโตขนาดนั้น แล้วหนักกว่า 40 กิโล ตัวมันน่าจะคล้ายถังเบียร์ หรืออะไรสักอย่างนึงที่ดูตันๆ ถ้าให้เห็นภาพง่ายให้เทียบกับ Bulldog แล้วกัน ผมว่า Bulldog เองยังอายเลยทีเดียว เพราะมันคงตัวหนากว่า Bulldog เยอะแน่นอน แต่หมาดูแล้วเอ มันกลับไม่ใช่ ดูสูงใหญ่น่าจะเรียกว่า OverSize เสียจะดีกว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็คงเพราะกระแส เหมือนในไทยตอนนี้หมาอะไรเกิดมา แต่ละคนก็พยายามบอกว่า Bully สุดๆ สายเตี้ย ล่ำ สั้น ทั้งๆที่ตัวพ่อแม่ไม่ใช่สไตล์นี้เลย คนซื้อจะซื้อก็ขอให้ศึกษาเอาดีๆนะครับ

ในความเป็นจริง สุนัขที่จะมีขนาดเตี้ยและใหญ่ขนาดนั้น หากมีก็คงมีน้อยมาก หรือแถบจะไม่มีเลย เดียวปิดกั้นไปซะหมด จะถูกหาว่าผมเป็นขวางโลกไปซะงั้น ที่กล่าวมา ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพียงแค่อยากให้คนเลี้ยง หรือผู้เพาะพันธุ์ที่จะนำมาพัฒนา ได้ไตร่ตรองและพิจารณาสูงขึ้น ในความเป็น Bully ของ R.E. ที่ Dave Wilson ได้ทำนั้น ทุกวันนี้ ผมว่าก็ยังคงเน้นอะไรที่นอกจากจะสวยขึ้นแล้ว ยังต้องฉลาดขึ้นด้วย มีทั้งความ Correct และสะใจไปพร้อมๆกัน แต่แนวโน้มปัจจุบันของ R.E. เริ่มที่จะเบี่ยงเบนมาทาง Freak มากขึ้น ทำให้สาย R.E. เริ่มแตกต่างจากแบบดั้งเดิมที่เคยทำกันมา แต่คาดว่าคงเพราะกระแสความนิยมของคนที่เน้นไปในแนวนี้ซะมากกว่า ในกรณีนี้เองที่ผมเห็น Dave ได้ออกมากล่าวเป็นนัยๆบ้างแล้วเช่นกัน เรื่องที่ R.E. เพี้ยนไป อยากให้กลับมาเป็นในแนวดั้งเดิม แถมยก Nememsis ให้เป็นหมาตัวอย่าง ทำให้ตอนนี้ Nememsis เนื้อหอมขึ้นเลยทีเดียว แต่จะผสมกับเขาคงยากเพราะค่อนข้างเลือกแม่หมา และปิดรับผสมมานานแล้ว แต่ตอนนี้ก็เริ่มเปิดให้แม่หมาบางตัวบ้าง เท่าที่รู้มาสาเหตุที่ Nememsis หยุดรับผสมก็เพราะไม่อยากให้ลูกเขามากเกินไป และอยากดูผลงานของลูกๆมันตอนโต เพื่อจะได้มองสายออกมากขึ้น ไม่แน่ อาจจะเห็นสายของเขาเข้ามาบ้างเหมือนกันนะครับ อันนี้ต้องติดตาม สำหรับในเมืองไทยเอง ผมเคยได้ยินบางคนวิจารณ์กล่าวถึง Nememsis ว่า เป็นหมาไม่สวย ตัวยาวๆ แปลกๆ ผมว่า หลังจาก Dave ยกให้เขาเด่นแบบนี้ คงมอง Nememsis หรือ พิทบูลในสไตล์นี้ใหม่อีกทีก็ยังทัน ผมเองมองว่า Nememsis อาจจะสูงเกินคำนิยามของคนเน้นเตี้ยสะใจ เพราะสูง 20-21" แต่ดูโดยรวมแล้วเขากลับเป็นพิทบูล R.E. ที่ดู Perfect และเด่นมากอีกตัวนึง หากให้มองอีกมุมจะเหมือนที่ผมกล่าวไว้ตอนต้นว่า พิทบูลสไตล์ Bully ควรเน้นอะไรที่มันดู Balance มากกว่า เตี้ย ล่ำสั้น ซะอย่างเดียว เพราจะทำให้เอกลักษณ์ของมันโดดเด่นขึ้นมากกว่าอย่างแน่นอน ถึงแม้จะสูง 22" ก็ไม่ถือว่าน่าเกียจ หากเราทำให้มันสมส่วน และสร้างจุดเด่นให้มันได้ คิดว่าหลายๆคน คงให้เสียงตอบรับที่ดีเช่นกัน เรื่องความสูงมันไม่ใช่อะไรที่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับกระแสและความนิยมมากกว่า แต่ใช่ว่าสิ่งที่ผมกล่าวจะถูกต้องไปเสียทั้งหมด เพราะผมเองอาจจะยกความชอบส่วนตัวเป็นหลักด้วย ทุกอย่างคำตอบคงอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนมากกว่าครับ

TrueTank หรือ T.S.O. Kennel ก็เป็นลักษณะเดียวกับ R.E. เพราะหากให้มองจริงๆแล้ว TrueTank ก็คือ R.E. เพราะหลายๆตัวก็มาจากสาย Cairo และ ShortShot เอง ซึ่ง ShortShot และ BuckShot ก็เป็นหมาของกลุ่ม TrueTank เองเช่นกัน ทำให้ทั้งสองสายไม่ต่างกันมากนัก แต่ผมให้ความเห็นว่าแต่ละสายก็ดังในแต่ฝั่งกัน ในความคิดของผม Shawn ไม่ได้เน้นทำอะไรที่เตี้ยๆ เกินไป แต่เน้นทำทรงตัวที่ดูตันๆ และทรงหัวที่ดูเหลี่ยมแบบ Brick Shap เป็นหลัก จุดเด่นอีกจุดที่เห็นคือ TrueTank มักมีหน้าอกที่กว้างนูน และกระดูกใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะเน้นทำสายของ ShortShot มากกว่า cairo ดังนั้นใครชอบสาย ShortShot ผมว่า TrueTank เป็นตัวเลือกที่ดีมาก และเขาเองก็บรีดออกมาได้ใกล้เคียงดั้งเดิมด้วย สำหรับหมาเด่นที่ TrueTank Produce เช่น ShortShot , Duke , BuckShot , Bronze, Henneze, Buc1/4, "Toxic" ,"Paco" ,"Menace" ,"Maximus" ,"Duece" ,"Mr.Biggs" ,"Rolex" ,"Havoc"สำหรับคอก TrueTank เองนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก จากเหตุการณ์ Hurrican Kritana ที่ซัดถล่มบ้านของเขาด้วยเช่นกัน ทำให้ Shawn สูญเสียสุนัขดีๆไปกับเหตุการณ์นี้หลายตัว เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ Cecil ซึ่งเป็นลูกของ Cairo อีกตัวนึงที่มีผลงานการ Produce ที่ดีของ TrueTank



ส่วนถ้าใครชอบ Freak จัด หรือหลุดโลกไปเลย ก็ต้องยกให้ Gotti/Greyline และ BUTTHEAD จะว่าไปแล้ว Gotti เอง ก็คงเหมือนกับ TrueTank ที่มาจากสายอื่น และนำมาทำเป็นสายของตนเอง เพราะจะว่าไปแล้วสุนัข Gotti แทบทุกตัวมาจาก Greyline ทั้งนั้น และจะเป็น Greyline Rider II เสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้า "West Side Monster" "Juan Gotti" แต่หมาทั้งสองสายนี้ อาจจะยังมีความดุในตัวเองสูงอยู่บ้าง เพราะบางตัวในรุ่นบรรพบุรุษก็เป็นพิทบูลที่เป็นสุนัขกัดเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับสุนัขในสไตล์ Bully อื่นๆแล้ว Gotti ถือว่า เป็นสายที่ Freak สุดๆ สายอื่น คงจะมาชนยากอยู่พอตัว สำหรับตัวที่ดังๆในปัจจุบันได้แก่ "21 BLACKJACK" , "Juan Gotti" ,"West Side Monster" ,"Vito" ,"KingSpade" ,"Bogie" Gotti เองเริ่มมาจากสุนัขแนว Feak สำหรับคนชอบความ Correct และประกวดได้ด้วยนั้น Gotti คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี แต่ก็มี Correct บ้างเช่นกันเพราะปัจจุบันมี Breeder หลายคน ทดลองไขว้กับสาย R.E. , Gaff หรือสายประกวดอื่นๆ และออกมามีความ Correct มากขึ้นแล้วเช่นกัน แต่อาจจะขัดกับสไตล์ต้นตำรับไปบ้างสำหรับสาย Gotti ในปัจจุบัน ผมมีทริคในการดูมาบอกให้ลองดูกันเล่นๆครับ ตัวที่เป็นสายของ "BlackAce", "Juan Gotti" และ "Moster" โดยส่วนใหญ่หน้าจะหัก บริเวณดั้งหรือปากจะสั้นและย่น ส่วนสี ส่วนบริเวณที่มีสีขาว โดยส่วนใหญ่จะมีรอยเปื้อน หรือด่างๆ บางตัว ด่างทั้งตัวก็มี กลายเป็นสีใหม่ของพิทบูล ที่เรียกว่า Marble ไป สำหรับข้อเสียของสาย Gotti ที่ผมเคยเจอและได้รับการบอกกล่าวมาจากเพื่อนๆ Breeder คือ Gotti นอกจากความดุแล้ว ตัวที่เตี้ยมากๆ สัก 14-16" มักมีข้อเสียในเรื่องของมุมขาหลัง และหลังที่แอ่น แต่ก็ไม่ใช่ทุกตัวนะครับ ดังนั้นคนที่ชอบแนวนี้ให้สอบถามคนขายก่อน หรือขอดูรูปถ่ายด้านข้างก่อนด้วยก็ดีครับ โดยรวมแล้วผมว่า Gotti ได้ความสะใจ คนชอบโหดๆ คงต้องมองไว้บ้าง หาตัวดีๆสายเลือดน่าสนใจ นำมาพัฒนาดีๆ



สำหรับ Gaff และ Knowlwood จัดเป็นพิทบูลที่เน้นทำสุนัข Conformation และ Correct ตาม Breed Standard มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นสายนี้จึงมีโครงสร้างได้มาตราฐานที่ดีมากๆ และเป็นจุดเด่น เพื่อให้ไขว้กับสายที่ต้องการสร้างความ Correct ให้มีในสายของตนมากขึ้น บางครั้งอาจจะยังไม่เห็นผลในรุ่นลูก แต่หากนำรุ่นลูกที่ไขว้สายนี้มาแล้วทั้งสายบนสายล่าง รับรอง สายนี้ดึง Correct ได้ดีทีเดียว สาย Gaff/Knowlwood ส่วนใหญ่จะมีหัวเหลี่ยม แก้มดี ลำตัวหนา แต่กระดูกอาจจะไม่โตมาก ตัวที่ดังตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คงไม่มีใครลืม "Gr.Ch. TopGun", "Ch. Luke" ,"Gr.Ch. Vanna" ,"Ch. SMITH AND WESSON ", "Gr.Ch. MAXIMILLION" ,"Gr.Ch. CAESAR JUNIOR II" และตัวเด่นอีกตัว "Gr.Ch. Rocko" สำหรับปัจจุบันเองสาย Gaff ที่ดังๆ มีออกมาสามสไตล์คือ Bully Correct , Correct และ Freak ซึ่งแบบแรก Bully Correct เราจะเห็นหมาแนวนี้ได้จากหมาของ George คอก Rockwood และจาก Gamble เอง ส่วน Correct แต่ไม่ Bully นัก จะคงยังเห็นอยู่ในคอกต่างๆที่เน้นผลการประกวดเป็นหลักเช่นคอก Milagra และ Pam เอง เนื่องจากว่า สุนัขในสไตล์ที่ Bully มากไป อาจจะทำให้การวิ่งหรือ Movement ไม่ดีเท่าที่ควร และไม่ประสบความสำเร็จในการประกวดนัก ส่วนสไตล์ Freak นั้น อันที่จริงแล้วในความรู้สึกผมคิดว่า Gaff แทบจะไม่มีเลย แต่เมื่อเห็นหมาของ Nick คอก Knkennel แล้วต้องเปลี่ยนความคิดไปเลย ซึ่ง Nick เขาจะมีหมา Gaff หลายตัว โดยส่วนใหญ่จะเป็น Old School Gaff ซะเป็นส่วนใหญ่สำหรับหมาแนวประกวด หรือ Conformation Type ที่ผมอยากแนะนำให้ลองนำมาเข้าสายกับ Bully type เพื่อสร้างความ Correct โดยยังคงความ Bully อยู่ได้นั้นนอกจากสายทั้งสองนี้แล้วยังมี สาย Benmar, GreyFox, Perdue และ Rumor ผมว่าไขว้สายพวกนี้ ไม่น่าผิดหวังครับ


สุดท้ายที่จะแนะนำคือ สาย Watchdog สายนี้จะเน้นในพิทบูลแบบ Bone crazy หรือที่เรียกว่า เอากระดูกใหญ่ๆ หัวโตๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ หลายตัวของ Watchdog มักจะมีโครงสร้างใหญ่ หัวราวๆ 24-28" ขึ้นไป น้ำหนักก็เยอะตามขนาดตัว มีหลายสายที่นำสายของ Watchdog มาใช้ เช่น สาย maddlatin ซึ่งถือเป็นคอกใหญ่อีกคอกนึงสำหรับหมาสไตล์นี้ ซึ่งพ่อพันธุ์ตัวดังของ Maddlatin คงหนีไม่พ้น "Shaq" และ "Big Bam Bam" ถือว่าเป็นพิทบูลที่ตัวโตมาก กระดูกใหญ่ และหัวโตเช่นกัน สายพวกนี้โดยส่วนใหญ่ โครงสร้างโต และสูงประมาณ 18-22" น้ำหนักตัว 80-100lbs ขึ้นไป ยังงี้เรียกว่าใหญ่สมตัวจริง และค่อนข้างไม่กล่าวอ้างโม้ถึงความสูงให้เตี้ยเกินจริง เพราะเขาได้สร้างจุดเด่นของเขาขึ้นมาเอง มองพิทบูลสายนี้ก็กลับมานึกถึงสาย Dungeon และ Camelote ซึ่งเป็นสายที่เน้นทำน้ำหนักที่มากและกระดูกใหญ่ๆด้วยเช่นกัน ซึ่งบ้านเราคงรู้จักสาย Camelote ดี หากพูดถึง Old Family Red Red Nose หรือ OFRRN ซึ่งมีลูกหลานในบ้านเราหลายตัวแล้วในปัจจุบัน
สรุปส่งท้ายแล้วกัน ทุกสายที่ผมกล่าวมา ไม่ใช่แค่ว่าสายเท่านั้น ที่ทำให้เกิดความเป็น Bully ขึ้นมาได้ แต่ละสายมีจุดดี จุดด้อยแตกต่างกัน บางตัวถึงแม้จะสายเดียวกัน บางครั้งก็มีทรงที่แตกต่างกันได้ จะต้องมองถึงที่มาของสายให้ดี การจะเป็น Breeder ที่ดีได้ ไม่ใช่แค่นำ พ่อแม่หมาที่สวยมาผสมกัน แต่จะต้องดูให้ลึกถึงการถ่ายทอดสายเลือด บางครั้งพ่อแม่สวยให้ลูกออกมาไม่สวย หรือ พ่อ/แม่ที่ไม่สวย ให้ลูกออกมาสวยก็มี และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเลือดร้อยเท่านั้น RE100% บ้าง Gotti 100% บ้าง ผมว่าอันนี้เป็นตัวโฆษณาไว้ขายมากกว่าเน้นคุณภาพ เพราะบ่อยครั้งที่ผมเจอสายเลือดร้อย สวยสู้พิทบูลที่ไขว้สายมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เลือดร้อยไม่ร้อยมันไม่ใช่ตัวกำหนดที่แน่นอน ส่วนบางคนที่กำลังคิดมาเป็น Breeder และคิดว่า ชอบหัวสายนี้ กระดูกสายนั้น เตี้ยสายนี้ เอามาจับเข้าผสมกัน ก็ใช่ว่าจะออกมาได้ซะง่ายๆ เหมือนสมการทางคณิตศาสตร์แบบที่คิดเลยซะทีเดียว นะครับ ความสำเร็จแต่ละครั้ง ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แต่ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ แนวความคิด และการวางแผนที่เป็นไปได้ การเป็น Breeder จึงเป็นเรื่องยาก และสิ่งที่ท้าทาย แต่มันจะไม่ใช่เรื่องยาก หากจะลองศึกษา และสะสมประสบประการณ์ ทุกวันนี้ความรู้หาได้ง่ายมากกว่าเดิมมาก อย่าหยุดศึกษา หรือลังเลที่จะสอบถามผู้รู้นะครับหวังว่าบทความในฉบับนี้คงพอช่วยเป็นแนวทางให้หลายๆคน ที่คิดจะเพาะพันธุ์มีแนวคิด และความรู้ใหม่ๆบ้างไม่มากก็น้อย และคงไม่คิดโกรธกันนะครับที่อาจจะเขียนนำเสนอหลายแง่มุม ซึ่งอาจจะกระทบกับท่านใดท่านหนึ่งได ้แต่อยากให้ผู้อ่านได้ข้อคิดความรู้ที่นำไปใช้ได้จริงมากกว่า และขออภัยหากบทความนี้ตกหล่นหรือผิดพลาดประการใด
บทความนี้นั้นมาจากเว็บ http://www.pitbullgroup.com/ เรานำมาเพื่อให้ศึกษาแบ่งปันสิ่งที่ได้

อเมริกันพิทบูลเทอเรีย




สุนัขพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอเรีย ถือว่ามีจำนวนน้อยมากในประเทศไทย ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งเรื่องราคา ลักษณะนิสัยตามสายพันธุ์ ความยุ่งยากในการดูแล



ในเรื่องราคา ก็คล้ายสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ อยู่ที่รูปร่างลักษณะตามสายพันธุ์ และความนิยมของตลาด มีตั้งแต่ให้กันฟรีๆ จนกระทั่งราคาหลายแสนบาท แต่เรื่องราคาคงไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่พิทบูลไม่ได้รับความนิยม
ลักษณะนิสัยตามสายพันธุ์ เรื่องนี้คือเหตุผลสำคัญที่ต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนการตัดสินใจในการหาสุนัขพันธุ์นี้มาเลี้ยง พิทบูลเป็นทั้งสุนัขที่โหดสุดๆ และใจดีสุดๆ พร้อมที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบข้าง และพร้อมที่จะปกป้องเจ้านายด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก ใครที่เลี้ยงพิทบูลนานเป็นแรมปีจะทราบดี ถึงคำนิยามที่ว่าเชื่องเหมือนแมวดุเหมือนเสือเป็นอย่างไร



ในความรู้สึกของผมในฐานะที่เลี้ยงพิบูลมา 3 ปี ไม่รู้สึกว่าเค้าเป็นหมา รู้สึกเสมอว่าเค้าเป็นยิ่งกว่าสุนัข ทั้งๆที่มีข้อเสียมากมายในตัวพิทบูล สารพัดที่จะอธิบาย แต่ข้อดีข้อเดียวที่ทำให้ผู้เลี้ยงพิทบูลสามารถยอมรับข้อเสียเหล่านั้นได้คือ เค้าจะยอมตายแทนเราเมื่อเราผู้เป็นเจ้าของตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม



ลูกพันธุ์พิทบูลของผม ไม่ใช่พิทบูลลักษณะดี ลักษณะไปทางสายกัด ไม่ใช่สายโชว์ แต่ให้ฟรี คนที่นี่ทราบดี ฟรีแบบมีเงี่อนไข คิวจองยาวเหยียด จนไม่กล้ารับปากจะให้ใครแล้วขณะนี้ เงื่อนไขที่ว่านี้อาจพอที่จะทำให้คุณทราบว่าพิทบูลคืออะไร ?



ท่าหินพิทบูล


เมื่อท่านนำสุนัขไปจาก “ท่าหินพิทบูล” นั่นหมายถึงท่านยอมรับเงื่อนไขที่ท่านควรปฏิบัติต่อพิทบูลดังต่อไปนี้



๑. คุณควรนำพิทบูลไปพบสัตว์บาล หรือสัตว์แพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการรับวัคซีนตามกำหนดเวลาที่เหมาะสม



๒. เมื่อสุนัขอายุครบ ๒ ปีคุณควรติดต่อกลับมาที่ ”ท่าหินพิทบูล” เพื่อทำประวัติของสุนัขอีกครั้ง



๓. คุณไม่ควรนำพิทบูลไปผสมกับสุนัขพันธุ์อื่น เพราะนั่นหมายถึง การทำลายสายพันธุ์ ลูกของพิทบูลที่ผสมข้ามสายพันธุ์ จะไม่ถูกจัดว่าเป็น พิทบูล ทั้งสุนัขที่เป็นเลือดผสมข้ามสายพันธุ์ มีอันตรายต่อผู้เลี้ยงเป็นอย่างยิ่ง



๔. คุณไม่ควรนำพิทบูลเลือดชิดมาผสมกันเอง เพราะทำให้ได้ลูกสุนัขสายพันธุ์ด้อยลง (ถ้าไม่สามารถหาพ่อพันธุ์ได้ให้ติดต่อมาที่ท่าหินพิทบูล)



๕. เมื่อพิทบูลเข้าสู่วัยหนุ่ม(ประมาณ ๒ ปี) หากคุณไม่ได้เลี้ยงพิทบูลไว้ในบ้าน ควรให้อยู่ในรั้วในกำแพง ถ้าไม่มีรั้วหรือกำแพง ก็ให้ขังกรงหรือล่ามโซ่ ถ้าไม่ได้ขังกรงไม่ได้ล่ามโซ่ พิทบูล ควรอยู่ในสายจูง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น สัตว์เลี้ยงของเพื่อนบ้านคุณจะตกอยู่ในอันตราย อเมริกัน พิทบูล เทอเรีย นอก จากเป็นสุดยอดสุนัขอารักขาแล้ว พิทบูล ยังเป็นสุดยอดสุนัขสังหารอันเป็นที่ทราบกันดีในวงการผู้เลี้ยงสุนัข อเมริกัน พิทบูล เทอเรีย


(พิทบูลสามารถฆ่าสุนัขได้ทุกสายพันธุ์ที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวมันเองไม่เกิน ๓๐ ปอนด์)


*๖. ถ้าภายหลังคุณพบว่าไม่สามารถเลี้ยงดูพิทบูลได้ ห้ามนำไปปล่อย หรือกำจัดทิ้ง ให้นำมาคืนโดยด่วน


ปืนสามารถปกป้องคุณจากคนร้ายได้ ปืนกระบอกเดียวกันทำให้คุณกลายเป็นคนร้ายได้ การมีปืนกับพิทบูลต่างกันไม่มาก คิดให้ดี ศึกษาให้เข้าใจก่อนตัดสินใจมี อเมริกัน พิทบูล เทอเรีย ไว้ในครอบครอง


โปรดใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์


ขอบคุณที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/19/2007/12/05/entry-1

เท่...แต่โหด กับ พิทบูล


เลี้ยงพิทบูลก็เหมือนมีเฟอรารี่ เท่...แต่ถ้าไม่รู้วิธีขับก็อาจเจ็บตัวได้เหมือนกัน"
นี่คือวาทะจากเจ้าของฟาร์มสุนัขและสวนสัตว์เอกชนชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง ผู้ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากมีข่าวครึกโครมว่าพิทบูลเป็นสุนัขอันตราย ล่าสุดกัดผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับบาดเจ็บสาหัส ต้องเข้ารับการผ่าตัดนานถึง 16 ชั่วโมง ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวกัดเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบ กับคุณยายอายุ 69 จนพิการ
หลังจากข่าวเรื่องพิทบูลกัดคนหนาหูขึ้น ชาวอิตาเลียนก็เริ่มรังเกียจรังงอนพิทบูลกันมากด้วยเกรงว่าภัยจะมาถึงตัวไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนที่เลี้ยงพิทบูลอยู่พากันโทรศัพท์มาที่สวนสัตว์และฟาร์มสุนัขพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ "ยกให้" แต่ก็เกินกำลังที่สวนสัตว์จะรับไว้เพราะทั่วประเทศมีสุนัขพันธุ์พิทบูลอยู่มากมายเหลือเกิน ส่วนชาวบ้านทั่วไปก็หวาดระแวง เห็นสุนัขหน้าตาถมึงทึงหรือตัวใหญ่หน่อยก็โทรแจ้งเจ้าหน้าที่กันจ้าละหวั่น
สาเหตุที่ชาวอิตาเลียนนิยมเลี้ยงพิทบูลก็เพราะมีค่านิยมว่าเลี้ยงแล้วเท่ โดยเฉพาะผู้ชายที่ต่างก็เห็นพิทบูลเป็นสัญลักษณ์ของความมาดแมน แข็งแกร่ง เป็นนักสู้ กล่าวกันว่าการเดินจูงพิทบูลไปตามถนนสามารถเรียกคะแนนนิยมจากสาว ๆ ได้พอ ๆ กับการขี่มอเตอร์ไซค์คันงามและเครื่องแรง ๆ นอกจากนี้กีฬา "หมากัดกัน" ก็เป็นที่นิยมในอิตาลีแถมยังทำเงินได้มาก เหตุผลข้อสุดท้ายก็คือพิทบูลเป็นสายพันธุ์ที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับสุนัขเพ็ดดีกรีสายพันธุ์อื่น ๆ
เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเพราะสุดท้ายกลายเป็นปัญหาระดับชาติ คณะรัฐมนตรีจึงออกกฎหมายเร่งด่วนกำหนดสุนัขที่เข้าข่าย "สายพันธุ์อันตราย" ไว้ถึง 95 สายพันธุ์ โดยมีรายละเอียดว่าตั้งแต่วันที่ 12 กันยายนเป็นต้นไป สุนัขใด ๆ ที่เป็นสายพันธุ์อันตรายต้องมีตะกร้อครอบปากกับมีสายจูงเมื่อออกนอกบ้าน ผู้ที่จะครอบครองสุนัขเหล่านี้ได้ต้องไม่ใช่เยาวชน ผู้มีประวัติอาชญากรรม และผู้มีปัญหาทางจิต นอกจากนี้ยังต้องมีประกันและใบอนุญาตครอบครอง แน่นอนว่าบรรดาผู้รักสุนัขทั้งหลายต่างพากันออกมาคัดค้านกันเสียงขรม ข้อที่คัดค้านกันมากคือเรื่องสายพันธุ์อันตราย เพราะเห็นว่ารัฐบาลกำหนดไว้มากเกินไป แถมบางสายพันธุ์ออกจะใจดีเพียงแต่ตัวใหญ่หน่อยเท่านั้น เช่น นิวฟาวนด์แลนด์ และ เซนต์เบอร์นาร์ด ส่วนค่าประกันนั้นก็แพงมาก อย่างถูกสุดก็ตกปีละประมาณ 200 ยูโร ผู้คัดค้านเห็นว่ามาตรการนี้อาจทำให้ผู้เลี้ยงทอดทิ้งสุนัข กลายเป็นภาระของสังคมหรืออาจออกมาเพ่นพ่านกัดคนอีกก็ได้
ข่าวแจ้งด้วยว่าเจ้าของสุนัขบางคนกลัวถึงขนาดไม่กล้าพาสุนัขของตนออกมาเดินเล่นเพราะกลัวสายตาชาวบ้าน ทั้งคนและสุนัขจึงเครียดด้วยกันทั้งคู่
บ้านเราก็เคยมีข่าวครึกโครมเรื่องพิทบูลกัดเด็กถึงตาย แถมไม่ใช่สุนัขของใครอื่น เป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านนั่นเอง ก่อนเลี้ยงหมาจึงควรศึกษาอุปนิสัยใจคอของสายพันธุ์ที่จะเอามาเลี้ยงก่อนว่าเหมาะสมกับเรารวมทั้งวิถีชีวิตของเราหรือเปล่า หรือถ้ามีใจกับสุนัขดุก็ควรฝึกให้ดี ๆ อย่าให้ออกไปทำร้ายใคร เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะรับปัญหาหนักที่สุดก็คือเจ้าของสุนัขนั่นเอง
ขอบคุณที่มา http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=2133

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

‘บลายธ์’เทียบรัศมีบาร์บี้สะเทือน


สสส.ส่งกลยุทธ 'ผลิตน้อยหายาก'
ราคาพุ่งสวนกระแสเศรษฐกิจ
เปิดตำนานสาวบลายธ์ ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์สายพันธุ์อเมริกัน ขึ้นแท่นของเล่นคนดัง กระแสแรงกว่า 3 ทศวรรษทาบรัศมี “บาร์บี้” กระเจิง เผยกลยุทธ์ “ผลิตน้อย-สั่งจองนาน” ทำราคาพุ่ง อวด “ไร้คู่แข่ง-ไร้ของเลียนแบบ” เหตุกลไกซับซ้อน จับสไตล์คนอินเทรนด์ ส่งโมดิฟายด์ตุ๊กตาตามแฟชั่น เรียกเงินลูกค้าไม่มีที่สิ้นสุด “ลีโอทอย” เผยสาวกเหนียวแน่น ราคาไม่เคยตก แม้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ถึงนาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “บลายธ์” ตุ๊กตาสาวตาโตที่เข้ามาอยู่ในใจบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ ด้วยราคา ที่เริ่มต้นเกือบครึ่งหมื่น เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บลายธ์ เป็นของเล่นของกลุ่มคนระดับกลาง-บน ซึ่งจะต้องยอมจ่ายเพื่อเป็นเจ้าของ จนทำให้ชื่อของเธอโด่งดังไปทั่วโลก จากกลยุทธ์ที่ใช้ความเป็นนิช มาร์เก็ต จากสินค้าที่มีจำนวนผลิตน้อย หายาก สั่งจองนาน และไม่มี การผลิตเพิ่ม แถมยังมีกลวิธีการดูและเพิ่มเติมความเป็นแฟชั่น จนทำให้ บลายธ์เป็นตุ๊กตาที่หาวิธีเล่นได้ไม่เบื่อและควักจ่ายเพิ่มได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด

>> จากตุ๊กตาผี สู่นางแบบยอดฮิตของวงการ
“Blythe” (บลายธ์) คือตุ๊กตาวินเทจที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดย Kenner โรงงานผลิตของเล่นในอเมริกา ที่ต้องการสร้างตุ๊กตาให้ต่างจากตุ๊กตาทั่วไปด้วยโมเดลตุ๊กตา 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye พร้อมแฟชั่นเครื่องแต่งกายกว่า 12 ชุด โดดเด่นด้วยดวงตากลมโตที่เปลี่ยนสีได้ 4 สี เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่มันกลับเป็นตุ๊กตาที่เด็กๆ หวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บลายธ์ไม่เป็นที่นิยม จนต้องปิดตัวลงหลังวางขายได้เพียง 1 ปี
30 ปีต่อมา จากสินค้าค้างสต็อกกลับเป็นตุ๊กตาหายากที่ได้รับความนิยม ในหมู่นักสะสม หลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน) ได้มอบตุ๊กตาเป็นของขวัญ เธอก็ชื่นชอบ และเริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบจนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่าย ชื่อ This is Blythe รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001
หลังจากที่ Hasbro ผู้สืบทอดกิจการ จาก Kenner ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้บริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น บลายธ์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นตุ๊กตา ยอดนิยมของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาทีวีให้กับห้างดัง Parco
จนกลายเป็นกระแส บลายธ์ฟีเวอร์ ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่น มีการระดมสุดยอดดีไซเนอร์มาร่วมออก แบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้เหล่านางแบบบลายธ์ ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลาง กรุงโตเกียว
และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉมบลายธ์ ให้โดดเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมชื่อใหม่ “Neo Blythe” และนับแต่นั้นมาก็มีคอลเล็กชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes ขึ้นมากมาย นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวบลายธ์สายพันธุ์ใหม่ “Petite Blythe” ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว ปิดท้ายด้วย Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของบลายธ์ ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้ว
>> กลยุทธ์ผลิตน้อย-หายากดันราคาสูง
ตุ๊กตา Blythe หรือ บลายธ์ (Blind) หรือ ที่บางคนก็เรียกว่า ไบ๊ล์ท (Bright) นับจากปี 2000 ถึงปัจจุบันมีด้วยกัน 2 ขนาด คือ รุ่น Neo Blythe หรือ ตุ๊กตาขนาด 11 นิ้วครึ่ง ซึ่งสามารถดึงสายด้านหลังและเปลี่ยนสีตาได้ถึงสี่สี มีด้วยกัน 120 รุ่น และรุ่น Petite Blythe หรือ ตุ๊กตาขนาด 4 นิ้วครึ่ง ไม่สามารถเปลี่ยน สีตาได้ แต่รุ่นใหม่ๆ จะสามารถหลับตาลงเมื่อจับตุ๊กตานอนลง
สำหรับประเทศไทย ร้านลีโอทอย ตัวแทนจำหน่ายบลายธ์ ในประเทศไทย โดยในเว็บไซต์ www.leo-toy.com ระบุว่า ราคาตุ๊กตาบลายธ์ เดิมทีรุ่นปีแรกๆ ราคาเปิดเพียง 8,400 เยน หรือ เพียง 2,000 กว่าบาท แต่เนื่องจากตุ๊กตาบลายธ์ ไม่มีการรีสต็อก หรือทำการผลิตใหม่ จึงทำให้ตุ๊กตารุ่นที่จำหน่ายหมดไป หายากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อผู้คนหันมาสนใจตุ๊กตา มากขึ้น
ความต้องการในตัวสินค้าเพิ่มขึ้น แต่สินค้ามีจำนวนเท่าเดิม จึงเกิดการแข่งขันและแย่งกันซื้อ และทำให้ราคาตุ๊กตาสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ตุ๊กตาบลายธ์ เป็นสินค้าประเภทเดียวที่ราคา ไม่เคยตก ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม โดยปัจจุบันราคาของบลายธ์ เริ่มต้นที่ประมาณ 4,000 บาท ราคาเริ่มตุ๊กตาปรับสูงขึ้นตามสภาพ เศรษฐกิจ และค่าเงิน รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จึงทำให้ราคาเริ่มปรับขึ้นมาเป็น 10240 เยน หรือประมาณ 4000 กว่าบาท และเนื่องจากภาษีนำเข้าในประเทศไทยสูงถึง 20% จึงทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากตัวบลายธ์ที่มีราคาแพงแล้ว อุปกรณ์เสริมหรือเสื้อผ้าต่างๆ ก็ มีราคาที่สูงตามไปด้วย โดยราคาของเสื้อผ้า มีตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท
>> คิวซีแน่นกลไกเพียบก๊อบปี้เมิน
นอกจากนั้น ยังไม่รวมถึงตุ๊กตารุ่นที่เป็นตัวพิเศษ หรือผลิตจำนวนจำกัดต่างๆ รวมถึงเงื่อนไขการจำหน่ายที่ทำให้เป็นเจ้าของยากขึ้น เช่น การจับสลากซื้อ, การเข้าคิวซื้อในงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งออกวางจำหน่ายทีละไม่กี่ร้อยตัว และที่สำคัญจัดจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น หากต้องการสินค้าพิเศษดังกล่าว ต้องไปต่อคิวซื้อที่ญี่ปุ่น, การต่อคิวซื้อในห้างทอยส์ อา อัส ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งซื้อได้เพียงคนละหนึ่งตัวเท่านั้น หรือสินค้าที่ผลิตจำกัดเช่นรุ่น CWC Limited ซึ่งวางจำหน่ายเพียง 3,000 ตัว, 1,000 ตัว, หรือ 500 ตัว จึงทำให้ราคาตุ๊กตายิ่งปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อสินค้าผลิตน้อย ความต้องการของผู้บริโภคสูง ราคาจึงปรับสูงขึ้น และเป็นไปตามกลไกการตลาดนั่นเอง
รายงานจาก ลีโอทอย ระบุว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน ตุ๊กตาบลายธ์ มีฐานการผลิตสินค้าที่ประเทศจีน เนื่องจากสายการผลิตสินค้าที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งโรงงานและค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงมาก ทำให้ไม่สามารถผลิตภายในประเทศญี่ปุ่นได้
แต่ทั้งนี้ ทางญี่ปุ่นเองก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำการตรวจสอบคิวซีการผลิตในโรงงานที่ประเทศจีนทุกครั้งที่มีการสั่งผลิตสินค้า จึงไม่ได้เห็นตุ๊กตาบลายธ์ ที่หลุดคิวซีอย่างบาร์บี้ เนื่องจากเมื่อตุ๊กตาไม่ผ่านคิวซี ทางญี่ปุ่น สั่งให้ดำเนินการตัดจมูกตุ๊กตาออกทันที และวัสดุที่ใช้ในการผลิต ก็มีจำนวนเท่ากับที่สั่งผลิตเท่านั้น
ดังนั้น จุดเด่นของตุ๊กตาบลายธ์อีกข้อก็คือ ไม่มีของลอกเลียนแบบหรือของก๊อบปี้ เนื่องจากภายในตุ๊กตาบลายธ์ มีกลไกอันซับซ้อน และมีวัสดุมากกว่า 10 ชิ้น ซึ่งการผลิตวัสดุแต่ละชิ้นใช้เงินลงทุนสูงมาก จนถึงปัจจุบันยังไม่มีโรงงาน ในประเทศใด ทำการผลิตตุ๊กตาบลายธ์ของปลอมออกจำหน่าย แม้กระทั่งในประเทศจีน
>> ทัพดาราทุ่มเงินแสนสะสมน้องบลายธ์
“ชมพู่” อารยา เอ ฮาร์เก็ต เป็นดาราสาวผู้คลั่งไคล้ตุ๊กตาบลายธ์ และกลายเป็นนักสะสมตุ๊กตา Blythe (บลายธ์) ระดับต้นๆ ของเมืองไทย โดยเริ่มจากเพื่อน ดาราสาว แตงโม-ภัทรธิดา พัชระวีระพงษ์ ซึ่งบลายธ์ตัวแรกของชมพู่ ซื้อมาจากประเทศฮ่องกง ก่อนที่จะทราบว่าในประเทศไทยมีการจำหน่ายบลายธ์แล้ว หลังจากนั้นเธอเลยกลายเป็นขาประจำของลีโอทอย เริ่มซื้อตุ๊กตาครั้งแรกๆ 6-7 ตัว และอีก 1 เดือน เธอก็สามารถครอบครองน้องบลายธ์ได้ถึง 30 ตัว จวบจนปัจจุบัน ชมพู่มีบลายธ์แล้วกว่า 60 ตัว ที่ซื้อทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยมีบลายธ์ที่ราคาแพงที่สุด 20,000 บาท เป็นตุ๊กตาบลายธ์ครบรอบปี 2004 จากประเทศญี่ปุ่น
ชมพู่เป็นหนึ่งในดาราผู้คลั่งไคล้ตุ๊กตาบลายธ์ และยังมีเหล่าดาราที่ชื่นชอบและสะสมตุ๊กตาบลายธ์ อาทิ , แตงโม ภัทรธิดา, อ๊อฟ และ ลูกตาล AF3 , วีเจจ๋า ณัฐา วีรนุช ฯลฯ เช่นเดียวกับคุณนุ้ย เบญจพร อณิรักษ์กุล ผู้จัดการร้าน ลีโอทอย ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้สะสมตุ๊กตาบลายธ์มาก่อนที่จะนำมาจัดจำหน่ายจนประสบความสำเร็จ และกลายเป็นอีกหนึ่งแฟนพันธุ์แท้ของบลายธ์ในประเทศไทย
>> สไตล์สาวน้อยอินเทรนด์เรียกเงินลูกค้า
ปัจจุบันลีโอทอย มี 7 สาขาคือ สะพานเหล็กสแควร์, สำเพ็ง, เอสซีพลาซ่า, โลตัส ปื่นเกล้า, เซ็น และ เซ็นทรัลชิดลม อีกทั้งยังมีการรุกตลาดด้วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดโปรโมชั่น เพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการสะสมตุ๊กตาบลายธ์ ในราคาพิเศษ อาทิ ชุดตุ๊กตาบลายธ์ 3 แบบ ราคา 9,490 บาท หรือ ชุดแพ็กคู่ ราคา 5,999-15,900 บาท เป็นต้น
ลักษณเด่นของตุ๊กตาบลายธ์ นอกเหนือจากที่สามารถดึงเปลี่ยนสีตาได้สี่สีแล้ว ตุ๊กตาบลายธ์ยังสามารถเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ และเปลี่ยนขนตาให้งอนงามยิ่งขึ้นได้ สามารถเปลี่ยนวิกหรือทรงผม ซึ่งปัจจุบันมีวิกผมออกวางจำหน่ายหลายแบบ ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อเปลี่ยนทรงผม ก็ทำให้ตุ๊กตาน่ารักยิ่งขึ้น และมีรูปแบบใบหน้า สีผิว
และลักษณะที่ต่างออกไปจากเดิม ทั้งนี้ยังสามารถนำมาโมดิฟายด์ หรือเรียกว่า การคัสตอมตุ๊กตาบลายธ์ให้หลับตา ค้างได้ ปรับเปลี่ยนทรงตา และปากให้สมจริงเหมือนคน ซึ่งในปัจจุบันมีเทคนิคการทำตุ๊กตาให้หน้าเหมือนเราให้มากที่สุดด้วย
ผู้จัดการร้านลีโอทอย กล่าวว่า สาเหตุที่บลายธ์เป็นตุ๊กตาที่มีราคาแพง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผลิตในจำนวนจำกัด ไม่มีการผลิตเพิ่ม มีกลไกซับซ้อน อีกทั้งเป็น สินค้าลิขสิทธิ์ เพราะตุ๊กตาพวกนี้มีลิขสิทธิ์ ระหว่างประเทศ อเมริกา กับญี่ปุ่น




Blythe (บลายธ์) ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์



ตาโต หน้ากลม ขนตางอนงาม ปากนิด จมูกหน่อย อะๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล เรากำลังบรรยารูปร่างหน้าตาของ "Blythe" แหม...งงล่ะสิว่า "Blythe" คืออะไร งั้นเฉลยค่ะ "Blythe" คือตุ๊กตาสาวน้อยแสนสวยที่กำลังอินเทรนด์ในหมู่วัยรุ่น (คล้ายๆ ตุ๊กตาบาร์บี้) ทั้งที่ความจริงแล้วสาว Blythe เข้ามาสร้างความสดใสให้สาวๆ ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว เชื่อว่าถ้าเห็นหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายคนอยากรู้ว่าสาว Blythe จะน่ารักขนาดไหน และมีคุณสมบัติพิเศษอะไรทำไม๊...ทำไมถึงฮิตฮอตซะขนาดนั้น ถ้างั้นก็อย่าช้าตามเข้ามาหาคำตอบกันเลย...


Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบให้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2515 (ค.ศ. 1972) โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา นามว่า เค็นเนอร์ (Kenner) ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา และหลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นชื่อดังที่สุดในโลก ให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น


โดย Allison Katzman ได้หยิบเอาดวงตาที่ตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัขมาใส่ในตัว Blythe ส่วนลำตัวแรกๆ ก็มีขนาดได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้


ซึ่งสาว Blythe ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด โมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา แต่ด้วยความที่อยากให้ตุ๊กตา Blythe ล้ำยุค และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รูปลักษณ์ภายนอกของสาวบลายธ์จึงถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น หัวโต ตัวผอม ความสูง 11.5 นิ้ว มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่านที่หลับได้เปิดได้ แถมเวลาเปิดเปลือกตาแต่ละครั้ง เธอสามารถเปลี่ยนสีดวงตาได้ถึง 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน


เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ และ Blythe สามารถบิดเอวและเข่าได้ เพื่อให้เปลี่ยนชุดได้ง่ายและสามารถโพสต์ท่าเหมือนนางแบบ ทำให้กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างพากันหวาดกลัวตุ๊กตาตัวแรกของโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น


จากนั้นในปี 2545 (ค.ศ. 2002) หรือ 30 ปี ต่อมาสาว Blythe ก็กลับมาได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้รับตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญ ทำให้เธอตกหลุมรักมันพร้อมๆ กับถ่ายภาพเธอ Blythe เก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ "This is Blythe" รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 และจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก


หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม $35 เป็น $350 ทันที


และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes (นีโอ บลายธ์) เกิดขึ้นมากมายกว่า 37 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก Parco Limited Edition (1,000 ตัว) ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian, Rosie Red, Holly Wood, All Gold in One, Kozy Kape inspired, Aztec Arrival inspired, Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิด ครบรอบ 1 ปี ของ Neo Blythes


และยังมีเซอร์ไพรสให้กับ์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า "Petite Blythe" (พีทิต บลายธ์) ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และมีออกมาทั้งหมด 48 แบบ


ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ถือว่าโดดเด่น และได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly, Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลอง และย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น


รู้รายละเอียดและเห็นหน้าตาของสาว Blythe กันแล้ว นั่นแน่! เพื่อนๆ เริ่มหลงรักและอยากจะจะเป็นเจ้าของตุ๊กตา Blythe แล้วใช่ไหมล่ะ อะๆ ช้าเดี๋ยวตกเทรนด์ไม่รู้ด้วยนะ


ข้อมูลและภาพประกอบจาก






Blythe (บลายธ์) ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์


ตาโต หน้ากลม ขนตางอนงาม ปากนิด จมูกหน่อย อะๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล เรากำลังบรรยารูปร่างหน้าตาของ "Blythe" แหม...งงล่ะสิว่า "Blythe" คืออะไร งั้นเฉลยค่ะ "Blythe" คือตุ๊กตาสาวน้อยแสนสวยที่กำลังอินเทรนด์ในหมู่วัยรุ่น (คล้ายๆ ตุ๊กตาบาร์บี้) ทั้งที่ความจริงแล้วสาว Blythe เข้ามาสร้างความสดใสให้สาวๆ ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว เชื่อว่าถ้าเห็นหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายคนอยากรู้ว่าสาว Blythe จะน่ารักขนาดไหน และมีคุณสมบัติพิเศษอะไรทำไม๊...ทำไมถึงฮิตฮอตซะขนาดนั้น ถ้างั้นก็อย่าช้าตามเข้ามาหาคำตอบกันเลย...
Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบให้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2515 (ค.ศ. 1972) โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา นามว่า เค็นเนอร์ (Kenner) ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา และหลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นชื่อดังที่สุดในโลก ให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น
โดย Allison Katzman ได้หยิบเอาดวงตาที่ตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัขมาใส่ในตัว Blythe ส่วนลำตัวแรกๆ ก็มีขนาดได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้
ซึ่งสาว Blythe ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด โมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา แต่ด้วยความที่อยากให้ตุ๊กตา Blythe ล้ำยุค และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รูปลักษณ์ภายนอกของสาวบลายธ์จึงถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น หัวโต ตัวผอม ความสูง 11.5 นิ้ว มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่านที่หลับได้เปิดได้ แถมเวลาเปิดเปลือกตาแต่ละครั้ง เธอสามารถเปลี่ยนสีดวงตาได้ถึง 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน
เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ และ Blythe สามารถบิดเอวและเข่าได้ เพื่อให้เปลี่ยนชุดได้ง่ายและสามารถโพสต์ท่าเหมือนนางแบบ ทำให้กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างพากันหวาดกลัวตุ๊กตาตัวแรกของโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น
จากนั้นในปี 2545 (ค.ศ. 2002) หรือ 30 ปี ต่อมาสาว Blythe ก็กลับมาได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้รับตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญ ทำให้เธอตกหลุมรักมันพร้อมๆ กับถ่ายภาพเธอ Blythe เก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ "This is Blythe" รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 และจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก
หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม $35 เป็น $350 ทันที
และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes (นีโอ บลายธ์) เกิดขึ้นมากมายกว่า 37 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก Parco Limited Edition (1,000 ตัว) ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian, Rosie Red, Holly Wood, All Gold in One, Kozy Kape inspired, Aztec Arrival inspired, Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิด ครบรอบ 1 ปี ของ Neo Blythes
และยังมีเซอร์ไพรสให้กับ์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า "Petite Blythe" (พีทิต บลายธ์) ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และมีออกมาทั้งหมด 48 แบบ
ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ถือว่าโดดเด่น และได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly, Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลอง และย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น
รู้รายละเอียดและเห็นหน้าตาของสาว Blythe กันแล้ว นั่นแน่! เพื่อนๆ เริ่มหลงรักและอยากจะจะเป็นเจ้าของตุ๊กตา Blythe แล้วใช่ไหมล่ะ อะๆ ช้าเดี๋ยวตกเทรนด์ไม่รู้ด้วยนะ
ข้อมูลและภาพประกอบจาก

Blythe (บลายธ์) ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์




ตาโต หน้ากลม ขนตางอนงาม ปากนิด จมูกหน่อย อะๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล เรากำลังบรรยารูปร่างหน้าตาของ "Blythe" แหม...งงล่ะสิว่า "Blythe" คืออะไร งั้นเฉลยค่ะ "Blythe" คือตุ๊กตาสาวน้อยแสนสวยที่กำลังอินเทรนด์ในหมู่วัยรุ่น (คล้ายๆ ตุ๊กตาบาร์บี้) ทั้งที่ความจริงแล้วสาว Blythe เข้ามาสร้างความสดใสให้สาวๆ ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว เชื่อว่าถ้าเห็นหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายคนอยากรู้ว่าสาว Blythe จะน่ารักขนาดไหน และมีคุณสมบัติพิเศษอะไรทำไม๊...ทำไมถึงฮิตฮอตซะขนาดนั้น ถ้างั้นก็อย่าช้าตามเข้ามาหาคำตอบกันเลย... Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบให้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2515 (ค.ศ. 1972) โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา นามว่า เค็นเนอร์ (Kenner) ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา และหลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นชื่อดังที่สุดในโลก ให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น โดย Allison Katzman ได้หยิบเอาดวงตาที่ตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัขมาใส่ในตัว Blythe ส่วนลำตัวแรกๆ ก็มีขนาดได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้ ซึ่งสาว Blythe ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด โมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา แต่ด้วยความที่อยากให้ตุ๊กตา Blythe ล้ำยุค และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รูปลักษณ์ภายนอกของสาวบลายธ์จึงถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น หัวโต ตัวผอม ความสูง 11.5 นิ้ว มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่านที่หลับได้เปิดได้ แถมเวลาเปิดเปลือกตาแต่ละครั้ง เธอสามารถเปลี่ยนสีดวงตาได้ถึง 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ และ Blythe สามารถบิดเอวและเข่าได้ เพื่อให้เปลี่ยนชุดได้ง่ายและสามารถโพสต์ท่าเหมือนนางแบบ ทำให้กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างพากันหวาดกลัวตุ๊กตาตัวแรกของโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น จากนั้นในปี 2545 (ค.ศ. 2002) หรือ 30 ปี ต่อมาสาว Blythe ก็กลับมาได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้รับตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญ ทำให้เธอตกหลุมรักมันพร้อมๆ กับถ่ายภาพเธอ Blythe เก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ "This is Blythe" รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 และจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม $35 เป็น $350 ทันที และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes (นีโอ บลายธ์) เกิดขึ้นมากมายกว่า 37 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก Parco Limited Edition (1,000 ตัว) ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian, Rosie Red, Holly Wood, All Gold in One, Kozy Kape inspired, Aztec Arrival inspired, Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิด ครบรอบ 1 ปี ของ Neo Blythes และยังมีเซอร์ไพรสให้กับ์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า "Petite Blythe" (พีทิต บลายธ์) ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และมีออกมาทั้งหมด 48 แบบ ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ถือว่าโดดเด่น และได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly, Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลอง และย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น รู้รายละเอียดและเห็นหน้าตาของสาว Blythe กันแล้ว นั่นแน่! เพื่อนๆ เริ่มหลงรักและอยากจะจะเป็นเจ้าของตุ๊กตา Blythe แล้วใช่ไหมล่ะ อะๆ ช้าเดี๋ยวตกเทรนด์ไม่รู้ด้วยนะ

Blythe


ย้อนกลับไปเมื่อปี 1972 สาวน้อยตาโตเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ถือกำเนิดขึ้นมาโดยดีไซเนอร์ Aliison Katzman ตามแบบร่างของ Magaret Keane ภายใต้ชื่อเก๋อ่านยาก Blythe (บลายธ์) ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษเก่า แปลว่า joyous
ในทีแรกสุด ผู้ออกแบบลูกตา Rouben Terzian เค้าจะให้ใช้ในตุ๊กตาหมา แต่ Gordon Barlow หัวกะทิของ Marvin Glass studio ซึ่งเป็นต้นสังกัดสาวบลายธ์ เค้าทัดทานไว้ให้ใช้ทำตุ๊กตาแทน (มีวงเล็บว่า Gordon คนนี้เป็นคนแรกที่คิดค้นกับดักหนูด้วยแหละ แต่แบบไหนก็ไม่รู้) ก็เลยตกลงใจเอามาใช้ในตุ๊กตารูปคน ซึ่งภายหลังต่อมาลูกตาแบบนี้ก็กลายเป็นเอกลัษณ์สำคัญของความเป็นบลายธ์
ความเด่นเด้งที่ทำให้บลายธ์แตกต่างจากตุ๊กตาตัวอื่นๆก็คือ นอกจากเวลานอนจะหลับตาได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสีตาได้ถึงสี่สีด้วยการดึงเชือกด้านหลังหัว สาวบลายธ์ถูกผลิตที่ฮ่องกง และ่ส่งมาขายที่ US ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบ. Kenner Toy ขายอยู่ได้แค่ปีเดียวก็ต้องหยุดชะงักเพราะด้วยความไม่มีคิ้วและรูปหัวที่ใหญ่โตผิดสเกล ทำให้ลูกเด็กเล็กแดงทั้งหลายเค้ากลัวกัน(เค้าว่าตอนแรกบลายธ์ถูกออกแบบมาให้ตัวใหญ่กว่านี้ แต่มันยัดกล่องไม่ลง ก็เลยต้องทำเป็นหัวโตตัวเล็ก =w=;)
ด้วยประการฉะนี้ นอกจากนักสะสมตุ๊กตา สาวบลายธ์ก็ไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก รอจนยี่สิบกว่าปีถัดมา ถึงจะได้ดังแบบดาวค้างฟ้าอย่างปัจจุบัน
ปี 1997 นิวยอร์คทีวีแอนด์วิดิโอโปรดิวเซอร์ Gina Garan ได้รับตุ๊กตาตัวนึงจากคนรู้จัก ด้วยเหตุผลที่ว่า "เห็นแล้วนึกถึงเธอ" (มันเป็นคำชมรึเปล่านิ?) Gina ก็เลยใช้สาวบลายธ์เํธอมาเป็นแบบฝึกถ่ายรูป ด้วยการพาไปหลายๆที่แล้วก็ใช้เป็นนางแบบถ่าย จนปี 1999 Gina ได้มีโอกาสไปเจอ Junko Wong แห่ง CWC International Artists(รู้สึกว่าจะเป็นเอเจนซี่พวกงานกราฟิค) Junko สนใจรูปถ่ายสาวบลายธ์เค้าเข้า ก็เลยลองเสนอให้ห้าง Parco ทำสปอตโฆษณาโดยใช้ตุ๊กตาเป็นตัวแสดงดูู ซึ่งก็โชคดีที่ทางห้างเค้าชอบ สาวบลายธ์เธอก็เลยได้ถ่ายโฆษณาหลังจากนั้น บลายธ์ก็กลับมาบูมอีกครั้งในชั่วข้ามคืน จากตุ๊กตาที่ราคาเริ่มแรก35เหรียญ USกลายเป็นตุ๊กตาที่นักสะสมยอมทุ่มราคาให้จนปัจจุบันขึ้นเป็นพันๆดอลลาร์ในอีเบย์

What is Blythe?


Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา ดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญ และมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น
30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ This is Blythe รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Ginas Gallery โด่งดังไปทั่วโลก
หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner )ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่างParco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ ข้อมูลเพิ่มเติม>>http://www.blythethiland.com>>http://www.thisisblythe.com

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คุณแอบรักใครอยู่หรือไม่

สงสัยกันรึป่าวว่านี่เราเปนอาราย?แค่เจอหน้า ไอ้หน้าจืดหรืออีสวยแค่ครั้งเดียว ทำไมหัวใจมันเต้นแรง ทำไมอยากเจอมันอีกวะ นี่เปนอาการ"แอบรัก"ค่ะ แต่บางคนก้อเถียงว่าตัวเองกินยาผิดเท่านั้นมิได้แอบรักแต่อย่างใด ด้วยเหดผลข้างๆคูๆนี้เอง เราจึงกาแบบทดสอบมาให้ทำกัน ไปเลย...!!
1.เวลาเจอคนๆนั้นคุณจะ...
ก.แอบมองในระยะ 100 เมตร
ข.ตีตัวออกห่างอย่างไร้เยื่อใย
ค.ใช้กล้องส่องทางไกล ส่องให้ชัดเจน
--------------------------------
2.คุณเก็บรูปถ่ายของเค้าไว้ใน...
ก.กระเป๋าตังค์
ข.ห้องน้ำ
ค.หิ้งพระ
-------------------------------
3.ประโยคแรกที่คุณจะชวนเค้าหรือเทอคนนั้นคุย
ก.สวัสดี
ข.อากาศดีนะ
ค.คุณรู้สึกยังไงกับรัฐบาลชุดนี้
------------------------------
4.คุณคิดว่าความรักคือ...
ก.ความรักทำให้คนตาบอด
ข.ความรักทำให้ตาตาบอด
ค.ความรักทำให้ยายตาบอด
------------------------------
5.วิชาที่คุณอยากเรียนที่สุดในช่วงนี้
ก.เลข
ข.คหกรรม
ค.เพศศึกษา
------------------------------
6.สัตว์ที่เหมาะแก่อาการของเราในปัจจุบัน
ก.นางอาย
ข.ไก่เปนหวัด
ค.แมงกระพรุน
------------------------------
7.ถ้าเพื่อนรู้ว่าคุณแอบรักครายแล้วเอามาล้อคุณจะ...
ก.ปฏิเสธอย่างตะกุกตะกัก
ข.ทำวางเฉยเดินสายกลาง
ค.ยอมรับอย่างหน้าตาเฉย
------------------------------
8.ถ้าคนที่คุณแอบรักเข้ามาคุยกับคุณ คุณจะมีอาการอย่างไร?
ก.หน้าแดงอายตอบแบบสั่นๆ
ข.เฉยวางจิตสงบนิ่ง
ค.ตบไหล่พูดคุยอย่างออกรส
------------------------------
9.ถ้าคุณเหนคนที่คุณแอบรักเดินมากับคนอื่นคุณจะ...
ก.แอบดักตีหัวคนคนนั้น
ข.ตั้งสติหายใจเข้า "พุธ"หายใจออก"โธ"
ค.คอยดูว่าเมื่อไรเลิกกันกรูจาได้เสียบ
-------------------------------
10.เลขไหนที่เหมาะกับชีวิตรักของคุณ
ก.เลข 1 เหมือนรักเดียวใจเดียว
ข.เลข 2 ความรักมันต้องเปนคู่
ค.เลขชุด 72ล้าน
-------------------------------
11.ถ้าอยู่ดีๆมีคนมาบอกว่าแอบรักคุณอยู่ สิ่งที่คุณจะทำเปนอันดับแรกคือ...
ก.ตบหน้าตัวเองอย่างแรง พิสูจน์ว่าฝันรึป่าว
ข.ตบหน้าคนนั้นอย่างแรงเพื่อพิสูจน์ว่ามีตัวตนจิงมั๊ย
ค.วัดระดับแอลกอฮอล์ในตัวคนๆนั้น
--------------------------------
12.เมื่อคืนคุณฝันว่าคุณกับคนที่คุณแอบรัก ได้เปนแฟนกันแล้วพอตื่นมา คุณจะ...
ก.คิดถึงเรื่องที่ฝันเมื่อคืนทั้งวันแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ข.ตื่นขึ้นมานั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์
ค.ตื่นขึ้นมาพอรู้ตัวว่าฝัน ก้อเรยนอนต่อ เผื่อว่าจาฝันต่อจากตอนที่แล้ว
-----------------------------------
คิดคะแนน
ก. ได้ 3 คะแนน
ข. ได้ 2 คะแนน
ค. ได้ 1 คะแนน
+++++++++++++++++
--->27 คะแนนขึ้นไป
คุณกำลังแอบรักแล้ว อย่าๆมาเถียง บอกว่าแอบรักก้อรักดิ ยอมรับความจิงเถอะ ไม่เสียหายอะไรซักหน่อย ภาษีก้อไม่เสียด้วย การที่คุณแอบรักคนที่พบไม่กี่ครั้ง อาจจะเปนบุพเพสันนิวาศ หรือกรรมเก่าที่ทำมาด้วยกัน คุณยังไม่กล้าไปบอกเขาตรงๆ ว่าแอบรักเขา เพราะกลัวผิดหวัง เพราะ กลัวการผิดหวัง เพราะคุณถือว่าการแอบรักมีความสุข ม่ายขออะไรมากกว่านี้
--->17 คะแนนขึ้นไป
คุณเปนคนที่แอบรักแต่ม่ายกล้าแสดงออกอย่างเปนทางการ ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ในใจในลำไส้ใหญ่มากกว่า ระวังจะเปนโรคท้องผูกนะคะ แต่คุณก้อเปนคนที่เข้าใจชีวิต แม้คนที่แอบรักจะม่ายแอบรักคุณคุณก้อสามารถใช้ธรรมมะเข้าข่ม ทางที่ดีขอแนะนำให้ไปบวชซะให้มันหมดเรื่องไปเลย
--->8 คะแนนขึ้นไป
คุณแอบรักเค้าค่ะ แต่คุณก้อไม่ได้ซีเรียสให้เค้ามารักตอบ แต่ก้อแอบมีความหวังเล็กๆ เพื่อสนุกสนานในชีวิต แต่สิ่งนี้แหละ ที่มันจะเปนเสน่ห์ที่จะทำให้มีคนมาแอบรักคุณ ลองหันกลับไปมองซิคะ เค้าอาจกำลังเดินตามคุณอยู่ก้อเปนได้ ^^

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine's Day History

There are varying opinions as to the origin of Valentine's Day. Some experts state that it originated from St. Valentine, a Roman who was martyred for refusing to give up Christianity. He died on February 14, 269 A.D., the same day that had been devoted to love lotteries. Legend also says that St. Valentine left a farewell note for the jailer's daughter, who had become his friend, and signed it "From Your Valentine". Other aspects of the story say that Saint Valentine served as a priest at the temple during the reign of Emperor Claudius. Claudius then had Valentine jailed for defying him. In 496 A.D. Pope Gelasius set aside February 14 to honour St. Valentine.
Gradually, February 14 became the date for exchanging love messages and St. Valentine became the patron saint of lovers. The date was marked by sending poems and simple gifts such as flowers. There was often a social gathering or a ball.
In the United States, Miss Esther Howland is given credit for sending the first valentine cards. Commercial valentines were introduced in the 1800's and now the date is very commercialised. The town of Loveland, Colorado, does a large post office business around February 14. The spirit of good continues as valentines are sent out with sentimental verses and children exchange valentine cards at school.

The History of Saint Valentine's Day

Valentine's Day started in the time of the Roman Empire. In ancient Rome, February 14th was a holiday to honour Juno. Juno was the Queen of the Roman Gods and Goddesses. The Romans also knew her as the Goddess of women and marriage. The following day, February 15th, began the Feast of Lupercalia.
The lives of young boys and girls were strictly separate. However, one of the customs of the young people was name drawing. On the eve of the festival of Lupercalia the names of Roman girls were written on slips of paper and placed into jars. Each young man would draw a girl's name from the jar and would then be partners for the duration of the festival with the girl whom he chose. Sometimes the pairing of the children lasted an entire year, and often, they would fall in love and would later marry.
Under the rule of Emperor Claudius II Rome was involved in many bloody and unpopular campaigns. Claudius the Cruel was having a difficult time getting soldiers to join his military leagues. He believed that the reason was that roman men did not want to leave their loves or families. As a result, Claudius cancelled all marriages and engagements in Rome. The good Saint Valentine was a priest at Rome in the days of Claudius II. He and Saint Marius aided the Christian martyrs and secretly married couples, and for this kind deed Saint Valentine was apprehended and dragged before the Prefect of Rome, who condemned him to be beaten to death with clubs and to have his head cut off. He suffered martyrdom on the 14th day of February, about the year 270. At that time it was the custom in Rome, a very ancient custom, indeed, to celebrate in the month of February the Lupercalia, feasts in honour of a heathen god. On these occasions, amidst a variety of pagan ceremonies, the names of young women were placed in a box, from which they were drawn by the men as chance directed.
The pastors of the early Christian Church in Rome endeavoured to do away with the pagan element in these feasts by substituting the names of saints for those of maidens. And as the Lupercalia began about the middle of February, the pastors appear to have chosen Saint Valentine's Day for the celebration of this new feaSt. So it seems that the custom of young men choosing maidens for valentines, or saints as patrons for the coming year, arose in this way.

St. Valentine's Story

Let me introduce myself. My name is Valentine. I lived in Rome during the third century. That was long, long ago! At that time, Rome was ruled by an emperor named Claudius. I didn't like Emperor Claudius, and I wasn't the only one! A lot of people shared my feelings.
Claudius wanted to have a big army. He expected men to volunteer to join. Many men just did not want to fight in wars. They did not want to leave their wives and families. As you might have guessed, not many men signed up. This made Claudius furious. So what happened? He had a crazy idea. He thought that if men were not married, they would not mind joining the army. So Claudius decided not to allow any more marriages. Young people thought his new law was cruel. I thought it was preposterous! I certainly wasn't going to support that law!
Did I mention that I was a priest? One of my favourite activities was to marry couples. Even after Emperor Claudius passed his law, I kept on performing marriage ceremonies -- secretly, of course. It was really quite exciting. Imagine a small candlelit room with only the bride and groom and myself. We would whisper the words of the ceremony, listening all the while for the steps of soldiers.
One night, we did hear footsteps. It was scary! Thank goodness the couple I was marrying escaped in time. I was caught. (Not quite as light on my feet as I used to be, I guess.) I was thrown in jail and told that my punishment was death.
I tried to stay cheerful. And do you know what? Wonderful things happened. Many young people came to the jail to visit me. They threw flowers and notes up to my window. They wanted me to know that they, too, believed in love.
One of these young people was the daughter of the prison guard. Her father allowed her to visit me in the cell. Sometimes we would sit and talk for hours. She helped me to keep my spirits up. She agreed that I did the right thing by ignoring the Emperor and going ahead with the secret marriages. On the day I was to die, I left my friend a little note thanking her for her friendship and loyalty. I signed it, "Love from your Valentine."
I believe that note started the custom of exchanging love messages on Valentine's Day. It was written on the day I died, February 14, 269 A.D. Now, every year on this day, people remember. But most importantly, they think about love and friendship. And when they think of Emperor Claudius, they remember how he tried to stand in the way of love, and they laugh -- because they know that love can't be beaten!

Valentine Traditions

Hundreds of years ago in England, many children dressed up as adults on Valentine's Day. They went singing from home to home. One verse they sang was:
Good morning to you, valentine;Curl your locks as I do mine ---Two before and three behind.Good morning to you, valentine.
In Wales wooden love spoons were carved and given as gifts on February 14th. Hearts, keys and keyholes were favourite decorations on the spoons. The decoration meant, "You unlock my heart!"
In the Middle Ages, young men and women drew names from a bowl to see who their valentines would be. They would wear these names on their sleeves for one week. To wear your heart on your sleeve now means that it is easy for other people to know how you are feeling.
In some countries, a young woman may receive a gift of clothing from a young man. If she keeps the gift, it means she will marry him.
Some people used to believe that if a woman saw a robin flying overhead on Valentine's Day, it meant she would marry a sailor. If she saw a sparrow, she would marry a poor man and be very happy. If she saw a goldfinch, she would marry a millionaire.
A love seat is a wide chair. It was first made to seat one woman and her wide dress. Later, the love seat or courting seat had two sections, often in an S-shape. In this way, a couple could sit together -- but not too closely!
Think of five or six names of boys or girls you might marry, As you twist the stem of an apple, recite the names until the stem comes off. You will marry the person whose name you were saying when the stem fell off.
Pick a dandelion that has gone to seed. Take a deep breath and blow the seeds into the wind. Count the seeds that remain on the stem. That is the number of children you will have.
If you cut an apple in half and count how many seeds are inside, you will also know how many children you will have.

See also

White Day (March 14) - similar to Valentine's Day
Black Day (April 14) - celebration day for single people
Sailor's Valentines
Vinegar valentines
Antivalentinism
Hallmark holiday
Valentine's Day Love Coupons

Similar days honoring love

In the West

Europe
Part of a series on
Love

Basic Aspects
Love
Love (scientific views)
Love (virtue)
Love (cultural views)
Human bonding
Historically
Courtly love
Greek love
Religious love
Types of emotion
Erotic love
Platonic love
Familial love
Romantic love
See also
Unrequited love
Problem of love
Interpersonal relationship
Sexuality
Sexual intercourse
Cultural views of love
Valentine's Day
This box:
viewtalkedit
Valentine's Day has regional traditions in the UK. In Norfolk, a character called 'Jack' Valentine knocks on the rear door of houses leaving sweets and presents for children. Although he was leaving treats, many children were scared of this mystical person. In Wales, many people celebrate Dydd Santes Dwynwen (St Dwynwen's Day) on January 25 instead of or as well as St Valentine's Day. The day commemorates St Dwynwen, the patron saint of Welsh lovers. In France, a traditionally Catholic country, Valentine's Day is known simply as "Saint Valentin", and is celebrated in much the same way as other western countries. In Spain Valentine's Day is known as "San Valentín" and is celebrated the same way as in the U.K, although in Catalonia it is largely superseded by similar festivities of rose and/or book giving on La Diada de Sant Jordi (Saint George's Day). In Portugal it's more commom refered to it as "Dia dos Namorados" (Boy/Girlfriend's Day).
In
Denmark and Norway, Valentine's Day (14 Feb) is known as Valentinsdag. It is not celebrated to a large extent, but a lot people take time to eat a romantic dinner with their partner, to send a card to a secret love or give a red rose to their loved one. In Sweden it is called Alla hjärtans dag ("All Hearts' Day") and was launched in the 1960s by the flower industry's commercial interests, and due to influence of American culture. It is not an official holiday, but its celebration is recognized and sales of cosmetics and flowers for this holiday are only bested by those for Mother's Day.
In
Finland Valentine's Day is called Ystävänpäivä which translates into "Friend's day". As the name indicates, this day is more about remembering all your friends, not only your loved ones. In Estonia Valentine's Day is called Sõbrapäev, which has a similar meaning.
In
Slovenia, a proverb says that "St Valentine brings the keys of roots," so on February 14, plants and flowers start to grow. Valentine's Day has been celebrated as the day when the first works in the vineyards and on the fields commence. It is also said that birds propose to each other or marry on that day. Nevertheless, it has only recently been celebrated as the day of love. The day of love is traditionally March 12, the Saint Gregory's day. Another proverb says "Valentin - prvi spomladin" ("Valentine — first saint of spring"), as in some places (especially White Carniola) Saint Valentine marks the beginning of spring.
In
Romania, the traditional holiday for lovers is Dragobete, which is celebrated on February 24. It is named after a character from Romanian folklore who was supposed to be the son of Baba Dochia. Part of his name is the word drag ("dear"), which can also be found in the word dragoste ("love"). In recent years, Romania has also started celebrating Valentine's Day, despite already having Dragobete as a traditional holiday. This has drawn backlash from many groups, reputable persons and institutions[30] but also nationalist organizations like Noua Dreaptǎ, who condemn Valentine's Day for being superficial, commercialist and imported Western kitsch.
Valentine's Day is called Sevgililer Günü in
Turkey, which translates into "Sweethearts' Day".
According to Jewish tradition the 15th day of the month of Av -
Tu B'Av (usually late August) is the festival of love. In ancient times girls would wear white dresses and dance in the vineyards, where the boys would be waiting for them (Mishna Taanith end of Chapter 4). In modern Israeli culture this is a popular day to pronounce love, propose marriage and give gifts like cards or flowers.

Central and South America
In
Guatemala, Valentine's Day is known as "Día del Amor y la Amistad" (Day of Love and Friendship). Although it is similar to the United States' version in many ways, it is also common to see people do "acts of appreciation" for their friends.[31]
In Brazil, the Dia dos Namorados (lit. "Day of the Enamored", or "Boyfriends'/Girlfriends' Day") is celebrated on June 12, when couples exchange gifts, chocolates, cards and flower bouquets. This day was chosen probably because it is the day before the Festa junina’s Saint Anthony's day, known there as the marriage saint, when traditionally many single women perform popular rituals, called simpatias, in order to find a good husband or boyfriend. The February 14's Valentine's Day is not celebrated at all, mainly for cultural and commercial reasons, since it usually falls too little before or after Carnival, a major floating holiday in Brazil — long regarded as a holiday of sex and debauchery by many in the country[32] — that can fall anywhere from early February to early March.
In
Venezuela, in 2009, President Hugo Chavez suspended San Valentin because it could desconcentrate the voters on the referendum celebrated in February 15. In its place he instaurated a "week of love" starting in February 16, the day after the referendum.[33]
In most of South America the Día del amor y la amistad (lit. "Love and Friendship Day") and the Amigo secreto ("Secret friend") are quite popular and usually celebrated together on the 14 of February (one exception is Colombia, where it is celebrated on September 20). The latter consists of randomly assigning to each participant a recipient who is to be given an anonymous gift (similar to the Christmas tradition of Secret Santa).

Asia
Thanks to a concentrated marketing effort, Valentine's Day is celebrated in some Asian countries with
Singaporeans, Chinese and South Koreans spending the most money on Valentine's gifts.[34]
In Japan, in 1960, Morinaga, one of the biggest Japanese confectionery companies, originated the present custom that only women may give chocolates to men.[citation needed] Unlike western countries, gifts such as candies, flowers, or dinner dates are uncommon. It has become an obligation for many women to give chocolates to all male co-workers. This is known as giri-choko (義理チョコ), from the words giri ("obligation") and choko, ("chocolate"). This contrasts with honmei-choko (本命チョコ); chocolate given to a loved one. Friends, especially girls, may exchange chocolate referred to as tomo-choko (友チョコ); from tomo meaning "friend". By a further marketing effort, a reciprocal day called White Day has emerged. On March 14, men are expected to return the favour to those who gave them chocolates on Valentine's Day.
In
South Korea, women give chocolate to men on February 14, and men give non-chocolate candy to women on March 14. On April 14 (Black Day), those who did not receive anything on the 14th of Feb or March go to a Chinese restaurant to eat black noodles and "mourn" their single life. Koreans also celebrate Pepero Day on November 11, when young couples give each other Pepero cookies. The date '11/11' is intended to resemble the long shape of the cookie. The 14th of every month marks a love-related day in Korea, although most of them are obscure. From January to December: Candle Day, Valentine's Day, White Day, Black Day, Rose Day, Kiss Day, Silver Day, Green Day, Music Day, Wine Day, Movie Day, and Hug Day.
In
China, the common situation is the man gives chocolate, flowers or both to the woman that he loves. In Chinese, Valentine's Day is called (simplified Chinese: 情人节; traditional Chinese: 情人節; pinyin: qīng rén jié).

Similar Asian traditions
In
Chinese culture, there is an older observance related to lovers. It is called "The Night of Sevens" (Chinese: 七夕; pinyin: Qi Xi). According to the legend, the Cowherd star and the Weaver Maid star are normally separated by the milky way (river) but are allowed to meet by crossing it on the 7th day of the 7th month of the Chinese calendar.
An observance on the same day in
Korea is called Chilseok, but its association with romance has long faded.
In Japan, a slightly different version of 七夕 (called
Tanabata, which is said to mean 棚機 a weaver for a god) is celebrated, on July 7 on the Gregorian calendar. The legend behind it is similar to the Chinese one. However, it is never regarded that the celebration is even remotely related with the St. Valentine's Day or lovers giving gifts to each other.

The Middle East
In
Iranian culture, Sepandarmazgan is a day for love, which is on 29 Bahman in the Jalali solar calendar of Iran. The corresponding date in the Gregorian calendar is February 17. Valentine's day is currently celebrated in Iran despite some restrictions made by government; young Iranian boys and girls are seen on this day going out and buying gifts and celebrating.
In
Saudi Arabia in 2008, religious police banned the sale of all Valentine's Day items, telling shop workers to remove any red items, as the day is considered an un-Islamic holiday. This ban created a black market of roses and wrapping paper.[35]